เรียนอะไรดี : คณะแพทยศาสตร์
คะแนนความนิยม
★★★★★ 5.0 คะแนน
เรียนอะไรดี : คณะแพทยศาสตร์
คะแนนความนิยม
★★★★★ 5.0 คะแนน
สายการเรียน ที่สมัครเรียนได้
วิทย์ - คณิต
เกรดเฉลี่ยในการสอบเข้า
เกรดขั้นต่ำ : 3.00
เกรดปลอดภัย : 3:50
(บางรอบจะมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำในการสมัคร ให้ยึดจากปีที่ประกาศรับสมัคร)
สายการเรียน ที่สมัครเรียนได้
วิทย์ - คณิต
เกรดเฉลี่ยในการสอบเข้า
เกรดขั้นต่ำ : 3.00
เกรดปลอดภัย : 3:50
(บางรอบจะมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำในการสมัคร ให้ยึดจากปีที่ประกาศรับสมัคร)
เราเหมาะกับคณะนี้ไหม?
- คณะนี้เรียนหนักมาก จบออกมาก็ทำงานหนักเหมือนเดิม
- เรียนนานกว่าเพื่อน เพราะเรียน 6 ปี
- ความเครียดเยอะ เพราะต้องรับผิดชอบผู้ป่วย
- ต้องใช้ความจำเยอะมาก
- ต้องเก่งภาษาอังกฤษ เพราะต้องคอยอ่านงานวิจัยใหม่ๆ
คะแนนที่ใช้สอบ ในคณะแพทย์
- วิชาเฉพาะแพทย์
- 7 วิชาสามัญ ( คณิต , อังกฤษ , ไทย , สังคม , ชีวะ , ฟิสิกส์ , เคมี)
- (ไม่ใช้คะแนน GAT PAT)
คณะแพทย์ เปิดรับสมัครรอบไหนบ้าง?
- รอบ 1 Portfolio
- รอบ 2 โควต้า
- รอบ 3 Admission
5 มหาวิทยาลัย คะแนนสูงสุด
(อ้างอิงปี 63)
เงินเดือนคณะแพทย์
20,000 - 50,000 บาท
(อ้างอิงจากประกาศรับสมัครงานในเว็บไซต์)
5 มหาลัยยอดนิยมสำหรับคณะนี้
- คณะแพทย์จุฬา
- คณะแพทย์ศิริราช
- คณะแพทย์รามา
- คณะแพทย์ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
- คณะแพทย์ รพ.พระมงกฎ
สาขาคณะแพทย์
- กุมารเวชศาสตร์
- จักษุวิทยา
- จิตเวชศาสตร์
- นิติเวชศาสตร์
- พยาธิวิทยา
- รังสีวิทยา
- วิสัญญีวิทยา
- เวชศาสตร์ครอบครัว
- เวชศาสตร์ป้องกัน
- เวชศาสตร์ฟื้นฟู
- ศัลยศาสตร์
- สูติศาสนตร์ - นรีเวชศาสตร์
- โสดศอนาสิกวิทยา
- ออรโธปิติกส์
- อายุรศาสตร์
ข้อดีของคณะนี้
- อาชีพที่มั่นคง
- เงินเดือนสูงมาก มีเหลือเก็บสบาย
- คนชื่นชมในความเก่ง
- จบไปแล้วเป็นที่ต้องการของหลายที่
- หางานง่าย
ข้อเสียของคณะนี้
- การบ้าน และงานหนักมาก
- อาชีพค่อนข้างเครียด เพราะอยู่กับความเป็นความตาย
- ต้องพร้อมอยู่เสมอ เผื่อเหตุฉุกเฉิน
- เรียนก็หนัก ตอนทำงานก็หนักพอกัน
★ ชีทติวสอบคณะแพทย์แนะนำโดย พี่จุฬา
แนะนำชีทสำหรับติวเข้าคณะแพทย์ ที่จัดทำโดยทีมวิชาการเด็กโชว์พอร์ต และพี่ศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งศิษย์เก่าคณะแพทย์ สามารถเลือกซื้อได้เลยทันที
Review คณะแพทย์
ปี 1 : เรียนปรับพื้นฐานกันก่อนเลย
สำหรับในปี 1 จะเป็นปีเดียวที่น้อง ๆ จะได้เรียนเหมือนเด็กคณะอื่น ๆ คือ เรียนตามตารางเรียนประมาณ 8.00 น.-16.00 น. (บางวันอาจจะเรียนเต็มวัน ส่วนในบางวันอาจจะเรียนแค่ครึ่งวัน) ทำให้น้อง ๆ ยังพอมีเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ ส่วนวิชาที่จะเรียนในปี 1 นี้ ก็จะเป็นวิชาเรียนคล้าย ๆ กับตอน ม.ปลาย เลย คือจะเน้นวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้ในการแพทย์) เป็นหลัก แต่ว่าจะเรียนลงลึกมากยิ่งขึ้นและยากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้การเรียนในปี 1 นั้น ดูเบาไปเลย แถมยังมีเวลาว่างให้น้อง ๆ ได้ทำสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
ปี 2 : ก้าวแรกสู่การเรียนแพทย์
พอขึ้นปี 2 น้อง ๆ ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทางการแพทย์เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าปี 1 เยอะเลยทีเดียว โดยเนื้อหาในปีนี้น้อง ๆ จะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและระบบการทำงานของร่างกายอย่างละเอียด เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ฯลฯ (ซึ่งเรียกได้ว่าน้อง ๆ จะต้องรู้ลึกไปถึงกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีหลอดเลือดชนิดไหนบ้างที่ไปหล่อเลี้ยงให้สามารถทำงานได้ตามปกติ) นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ อีก เช่น วิชาทางกายวิภาค สรีรวิทยา พันธุศาสตร์ เป็นต้น พร้อมทั้งน้อง ๆ ยังจะได้พบกับอาจารย์ใหญ่และกล่าวคำปฏิญาณ อีกด้วย
ปี 3 : ร่างกายของเราป่วยได้อย่างไร
ตอนเรียนปี 2 น้อง ๆ จะเน้นการเรียนเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย พอขึ้นมาปี 3 น้อง ๆ ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเจ็บป่วยหรือทำให้ร่างกายผิดปกติ ทั้งการเรียนรู้จักกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ สาเหตุของการเกิดโรค เช่น หลักภูมิคุ้มกันวิทยา, ปรสิตวิทยา, พยาธิทั่วไป, เวชศาสตร์ชุมชนฯ เป็นต้น และนอกจากนี้ยังเรียนเกี่ยวกับยาชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรค (ระดับพื้นฐาน) อีกด้วย
ปี 4 : เริ่มใกล้คำว่าแพทย์มากขึ้น.. ได้ดูแลคนไข้แล้ว
บอกลาการปิดเทอมไปได้เลย เพราะการเรียนในปีนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่น้อง ๆ จะเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้จากผู้ป่วยโดยตรงเลย โดยจะเป็นการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปดูแลผู้ป่วยตามวอร์ดตลอดทั้งปี ในแต่ละวอร์ดจะมีเนื้อการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง, วอร์ดเด็กก็จะเน้นไปที่โรคที่เกิดขึ้นกับเด็ก เป็นต้น
ในตอนวนวอร์ดน้อง ๆ จะได้รับคนไข้ ซึ่งน้อง ๆ จะต้องทำการสอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค และให้คำแนะนำหรือแนวทางการรักษาโรคในเบื้องต้น โดยจะมีอาจารย์ผู้คุมวอร์ดเป็นคนดูแลและให้ความรู้กับเราอีกที ในการให้คำปรึกษาและแนวทางการรักษาโรคในขั้นลึกลงไป
นอกจากจะมีการเปลี่ยนวอร์ดตลอดทั้งปีแล้ว น้อง ๆ ยังต้องเข้าเวรอีกด้วย ซึ่งน้อง ๆ จะได้รับมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ วันเสาร์-อาทิตย์ หรือในเทศกาลหยุดยาว ทำให้เวลาว่างที่น้อง ๆ เคยมีก็จะหายไป มีเวลาส่วนตัวน้อยลง ดังนั้นน้อง ๆ ควรที่จะต้องหาวิธีในการปรับตัวให้ดีเลย ไม่งั้นอาจจะเราเรียนไม่ไหวได้นะ
ปี 5 : เรียนหนักขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นแพทย์ที่เก่ง
สำหรับรูปแบบการเรียนในชั้นปีที่ 5 จะเหมือนกับปี 4 คือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตรงที่วอร์ดที่น้อง ๆ วนกันนั้น จะเป็นวอร์ดที่ยังไม่เคยเจอในตอนปี 4 เช่น แผนกจิตเวช, แผนกนิตเวช เป็นต้น (การวอร์ดในแต่ละสถาบันการศึกษาอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามที่สถาบันได้จัดเอาไว้)
แต่ก็แอบโหดอยู่เหมือนกันจากตอนปี 4 น้อง ๆ อาจจะมาถึงวอร์ดได้ตอน 7 โมง แต่พอขึ้นปี 5 มา น้อง ๆ อาจจะต้องมาถึงวอร์ดประมาณตี 4 และอยู่จนถึงรุ่งเช้าของอีกวันก็มีนะ และก็ยังต้องมีการเข้าเวรเหมือนปี 4 นอกจากนี้น้อง ๆ ก็ยังจะได้สอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค ให้การรักษาผู้ป่วย ร่วมกับอาจารย์ผู้ควบคุมมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเย็บแผล ทำคลอดอีกด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญในชั้นปีนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะน้อง ๆ จะต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 2 ด้วย ซึ่งจะทำการสอบตอนเรียนจบชั้นปี 5 เป็นการสอบความรู้ในชั้นปีที่ 4 และ 5 ที่ได้เรียนมา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย รวม 300 คะแนน (ข้อสอบเป็นตัวเลือกแบบขั้นที่ 1)
ปี 6 : เริ่มทำงานจริงแล้ว
ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนแพทย์ น้อง ๆ จะได้ทำงานจริงเหมือนแพทย์ตามโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ ทำการรักษาโรค เย็บแผลเอง ทำคลอดเอง ทำการผ่าตัดเล็กเอง (โดยจะมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแลอีกทีอย่างห่าง ๆ) เรียกได้ว่าเป็นปีสุดท้ายที่โหดมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราขึ้นวอร์ดไปแล้วเราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนแพทย์ที่จบไปแล้ว ใช้ความรู้ที่ได้เรียนทั้งหมด และในปีนี้เราสามารถออกไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ด้วย
ที่สำคัญเรายังจะต้องสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 3 (ขั้นสุดท้าย) ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 6 ส่วนของข้อสอบนั้นจะไม่ได้เป็นแบบตัวเลือกเหมือนกับ 2 รอบที่ผ่านมา แต่จะเป็นการสอบแบบออสกี้ (OSCE) ซึ่งเป็นการสอบปฏิบัติแบบมีเสียงกริ๊งกำหนดเวลา มีทั้งหมด 30 ฐาน (มีฐานให้เราได้พักเหมือนกันนะ)